การประกันราคาขั้นสูงคืออะไร และทำเพื่อใคร
การกำหนดราคาหรือการประกันราคาขั้นสูง
การกำหนดราคาหรือการประกันราคาขั้นสูง (Price ceiling)คือ การแทรกแซงราคาสินค้าโดยทั่วไปของรัฐบาล เพื่อไม่ให้สินค้ามีราคาสูงเกินไป ด้วยการกำหนดราคาขั้นสูง อันเป็นราคาที่ต่ำกว่าตลาดหรือดุลยภาพ
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Ec) = %การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อสินค้า A
การกำหนดราคาหรือการประกันราคาขั้นสูง (Price ceiling)คือ การแทรกแซงราคาสินค้าโดยทั่วไปของรัฐบาล เพื่อไม่ให้สินค้ามีราคาสูงเกินไป ด้วยการกำหนดราคาขั้นสูง อันเป็นราคาที่ต่ำกว่าตลาดหรือดุลยภาพ
แผนภูมิแสดงการควบคุมราคา ถ้ารัฐบาลไม่มีการแทรกแซงตลาด ระดับราคา P0 คือราคาดุลยภาพ และปริมาณ Q0 คือปริมาณดุลยภาพ
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน มีประโยชน์อย่างไร
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand)
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงความต้องการซื้อสินค้าต่ออัตราการเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่างๆ ที่กำหนดอุปสงค์ เช่น ราคา รายได้ ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ความยืดหยุ่นของอุปสงค์มี 3 ชนิด ดังนี้
1. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand)
เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง โดยวัดออกมาในรูปของร้อยละ
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Ed) = % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อ
% การเปลี่ยนแปลงของราคา
% การเปลี่ยนแปลงของราคา
โดยสูตรที่ใช้คำนวณหาค่าความหยือหยุ่นนั้นมี 2 ลักษณะ คือ
ก. สูตรความยืดหยุ่นของอุปงค์แบบจุด (Point elasticity of Demand)
โดยที่ : Ed = ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา
Q1 = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับราคาเดิม
Q2 = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับราคาใหม่
P1 = ราคาสินค้าเดิมก่อนมีการเปลี่ยนแปลง
P2 = ราคาสินค้าหลังการเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่าง สินค้าราคา 20 บาท มีคนซื้อ 10 ชิ้น แต่ราคาลดลงเป็น 18 บาท คนจะซื้อเพิ่มเป็น 15 ชิ้น คึความหยือหยุ่นที่A คือ
ค่าความยืดหยุ่นที่ A = -5 หมายถึงว่า ถ้าราคาเปลี่ยนไป 1% ปริมาณซื้อจะเปลี่ยนไป 5% ส่วนเครื่องหมายเป็นลบเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณความต้องการซื้อมีทิศทางตรงกันข้าม ค่าความยืดหยุ่นจะพิจารณาเฉพาะตัวเลขเท่านั้น
สำหรับค่าความหยือหยุ่นที่จุด B คือ
จะเห็นว่าค่าความยืดหยุ่นที่จุด A = -5 ที่ B = -3 ได้ค่าไม่เท่ากันทั้งๆที่การเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อ และราคาที่มีค่าเท่ากัน เพียงแต่การใช้ราคาปริมาณเริ่มแรกที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาว่าจะใช้ค่าใดเป็นเริ่มแรก การคำนวณค่าความยืดหยุ่นจึงมีอีกสูตรหนึ่ง คือ
ข. ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์บนช่วงใดช่วงหนึ่งบนเส้นอุปสงค์ (Arc elasticity of demand) คือ ช่วง AB
ซึ่งค่า -3.8 นี้ไม่ว่าจะใช้ราคาและปริมาณใดเป็นตัวเริ่มต้นก็ตามจะได้ค่าเท่ากับ -3.8 เสมอ
สามารถแบ่งลักษณะของอุปสงค์ตามระดับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ได้ดังรูปที่ 3.1
ปัจจัยที่กำหนดค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์
ความยืดหยุ่นมาก (Elastic) ความยืดหยุ่นน้อย(Inelastic)
- สินค้าที่มีของทดแทนได้มาก - สินค้าที่มีของทดแทนได้น้อย
- สินค้าฟุ่มเฟือย - สินค้าจำเป็น
- สินค้าคงทนถาวร - สินค้าที่มีราคาเพียงเล็กน้อย
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์กับรายรับรวมจากการขายสินค้า
รายรับรวม (Total Revenue) คำนวณได้มาจากการคูณราคาด้วยปริมาณ หรือ
รายรับรวาม = ราคา x ปริมาณ
TR = P x Q
ทั้งนี้ รายรับรวม อาจจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงหรือคงที่ ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่กำหนดปริมาณซื้อที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณมากน้อยเพียงใด หรือขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ อย่างไรก็ดี ในเชิงทฤษฏีอาจสร้างตารางความสัมพันธ์ระหว่างความหยืดหยุ่นกับรายได้และราคาสินค้าดังตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1 ตารางความยืดหยุ่นและรายรับรวมในกรณีลด - เพิ่มราคาสินค้า
ความยืดหยุ่นมาก (Elastic)
|
ความยืดหยุ่นคงที่(Unitary)
|
ความยืดหยุ่นน้อย(Inelastic)
| |||
P x Q
|
TR
|
P x Q
|
TR
|
P x Q
|
TR
|
ก. ราคาสินค้าลดลง
| |||||
10 x 1,000
|
10,000
|
10 x1,000
|
10,000
|
10 x 1,000
|
10,000
|
9 x 2,000
|
18,000
|
9 x 1,111
|
10,000
|
9 x 1,050
|
9,450
|
8 x 3,000
|
24,000
|
8 x 1,250
|
10,000
|
8 x 1,100
|
8,800
|
ข. ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น
| |||||
8 x 3,000
|
24,000
|
8 x 1,250
|
10,000
|
8 x 1,100
|
8,800
|
9 x 2,000
|
18,000
|
9 x 1,111
|
10,000
|
9 x 1,050
|
9,450
|
10 x 1,000
|
10,000
|
10 x 1,000
|
10,000
|
10 x 1,000
|
10,000
|
จากตารางแสดงความสัมพันธ์ของความยืดหยุ่นรายรับรวมและราคาจะสังเกตเห็นว่าถ้าราคาเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่อ (1) ปริมาณซื้อและ (2) รายรับทั้งหมด จากความสัมพันธ์นี้เราจะนำไปใช้ในการวางแผนการตลาดของสินค้าที่จะนำออกขายในท้องตลาด ทฤษฏีอุปสงค์ทั้งหมดที่ศึกษาก็เพื่อจะขจัดปัญหาความไม่แน่นอนในธุรกิจ อีกนัยหนึ่ง เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดผู้ขายทุกคนควรที่จะต้องทราบลักษณะของความยืดหยุ่นของอุปสงค์ เพื่อกำหนดนโยบายราคาและพยากรณ์รายได้ของผู้ขาย อันเป็นการนำมาซึ่งกำไรสูงสุดของผู้ประกอบการ จากหลักทฤษฏีเศรษฐศาสคร์ จึงอาจสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความยืดหยุ่นของราคากับรายรับได้ดังต่อไปนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างความหยืดหยุ่นของอุปสงค์กับรายได้จากการขาย
ราคาสินค้า
|
Ed > 1
|
Ed = 1
|
Ed < 1
|
เพิ่ม
|
TR ลด
|
TR คงเดิม
|
TR เพิ่ม
|
ลด
|
TR เพิ่ม
|
TR คงเดิม
|
TR ลด
|
2. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Income Elasticity of Demand)
อุปสงค์ต่อรายได้ หมายถึง จำนวนต่างๆ ของสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการเสนอซื้อ ณ ระดับรายได้ต่างๆ ภายในระยะเวลาหนึ่ง โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Income Elasticity of demand) หมายถึง การวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อรายได้เปลี่ยนแปลง
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ (Ey) = % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อ
% การเปลี่ยนแปลงของรายได้
% การเปลี่ยนแปลงของรายได้
ก. สูตรความยืดหยุ่นอุปสงค์ต่อรายได้แบบจุด
โดยที่ : Ey = ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้
Q1 = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับรายได้เดิม
Q2 = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า ณ ระดับรายได้ใหม่
Y1 = ระดับรายได้เดิมก่อนการเปลี่ยนแปลง
Y2 = ระดับรายได้หลังการเปลี่ยนแปลง
ข. สูตรความยืดหยุ่นอุปสงค์ต่อรายได้แบบช่วง
ถ้าค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้มีเครื่องหมายเป็นบวกแสดงว่าเป็นสินค้าปกติ (Normal Goods) หรือสินค้าฟุ่มเฟือย (Superior Goods) และถ้ามีเครื่องหมายเป็นลบแสดงว่าเป็นสินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods) เพราะเมื่อผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มขึ้นจะซื้อสินค้าชนิดนั้นลดลง
3. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Cross - Price Elasticity of Demand)
อุปสงค์ไขว้ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ พิจารณาต่อสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาหนึ่ง โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Cross - Price Elasticity of Demand) หมายถึง การวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเมื่อราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลง
สินค้าที่เกี่ยวข้องกันแบ่งได้ 2 ชนิด ดังนี้
สินค้าที่ใช้ประกอบกัน (Complementary Goods) เป็นสินค้าที่ในการอุปโภคบริโภคต้องใช้ร่วมกัน ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะไม่สามารถบริโภคได้ เช่น รถยนต์และน้ำมัน เป็นต้น ความสัมพันธ์ของสินค้าที่ต้องใช้ประกอบกันจะมีทิศทางตรงกันข้ามหรือเป็น -
สินค้าทดแทนกัน (Substitute Goods) เป็นสินค้าที่ในการอุปโภคบริโภค ถ้าหาสินค้าชนิดหนึ่งไม่ได้สามารถใช้สินค้าอีกชนิดหนึ่งทดแทนได้ เช่น เนื้อหมูกับเนื้อไก่ เป็นต้น ความสัมพันธ์ของสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้จะมีทิศทางเดียวกันหรือเป็น +
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Ec) = %การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อสินค้า A
% การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า B
ก. สูตรความยืดหยุ่นอุปสงค์ไขว้แบบจุด
โดยที่ : Ec = ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้
QA1 = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า A ณ ระดับราคาสินค้า B ก่อนการเปลี่ยนแปลง
QA2 = ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า A ณ ระดับราคาสินค้า B หลังการเปลี่ยนแปลง
PB1 = ราคาสินค้า B ก่อนการเปลี่ยนแปลง
PB2 = ราคาสินค้า B หลังการเปลี่ยนแปลง
ข. สูตรความยืดหยุ่นอุปสงค์ไขว้แบบช่วง
ถ้าคำนวณได้ค่าเป็นบวก ( + ) แสดงถึง เป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนกัน และถ้าคำนวณได้ค่าเป็นลบ ( - )แสดงถึง เป็นสินค้าที่ใช้ประกอบกัน
ความยืดหยุ่นของอุปทาน (Elasticity of Supply)
ความยืดหยุ่นของอุปทาน (Elasticity of Supply) หมายถึง เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการขายสินค้าต่อเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า ค่าความยืดหยุ่นที่คำนวณได้จะมีเครื่องหมายเป็นบวกเนื่องจากราคาและปริมาณความต้องการขายมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน การคำนวณค่าความยืดหยุ่นของอุปทานทำได้ดังนี้
ความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคา (Es) = % การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการขาย % การเปลี่ยนแปลงของราคา
ก. สูตรความยืดหยุ่นของอุปทานแบบจุด (Point elasticity of Demand)
โดยที่ : Es = ค่าความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคา
Q1 = ปริมาณความต้องการขาย ณ ระดับราคาเดิม
Q2 = ปริมาณความต้องการขาย ณ ระดับราคาใหม่
P1 = ราคาสินค้าเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลง
P2 = ราคาสินค้าหลังการเปลี่ยนแปลง
ข ค่าความยืดหยุ่นของอุปทานแบบช่วง
ลักษณะความยืดหยุ่นของอุปทาน
สามารถแบ่งลักษณะของอุปทานตามระดับความยืดหยุ่นของอุปทานได้ดังรูปที่ 3.2
ปัจจัยที่กำหนดค่าความยืดหยุ่นของอุปทาน
ความยากง่ายและเวลาที่ใช้ในการผลิต สินค้าที่สามารถผลิตได้ง่ายและใช้เวลาในการผลิตสั้นอุปทานของสินค้ามีค่าความยืดหยุ่นสูง
ปริมาณสินค้าคงคลัง สินค้าที่มีสินค้าคงคลังสำรองมาก อุปทานของสินค้าจะมีความยืดหยุ่นสูง
ความหายากของปัจจัยการผลิต ถ้าปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้ามีจำนวนจำกัดและหายาก ต้องใช้เวลาในการหาปัจจัยการผลิตนาน อุปทานของสินค้าชนิดนั้นจะมีความยืดหยุ่นต่ำ
ระยะเวลา ถ้าระยะเวลานานความยืดหยุ่นของอุปทานจะมากเพราะผู้ผลิตสามารถเปลี่ยนแปลงการใช้ปัจจัยการผลิตได้ทุกชนิด แม้แต่เทคโนโลยีและเครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ
ประโยชน์ของค่าความหยืดหยุ่นของอุปสงค์
1. ในการวางนโยบายหรือมาตรการของรัฐ เช่น การจัดเก็บภาษีจากสินค้า รัฐจะต้องรู้ว่าสินค้านั้นมีความ
หยืดหยุ่นเท่าไร เพื่อจะได้ทราบว่าภาระภาษีจะตกไปบุคคลกลุ่มใด
หยืดหยุ่นเท่าไร เพื่อจะได้ทราบว่าภาระภาษีจะตกไปบุคคลกลุ่มใด
2. ช่วยให้หน่วยุรกิจสามารถดำเนินกลยุทธทางด้านราคาได้อย่างถูกต้องว่าสินค้าชนิดใดควรตั้งราคาสินค้า
ไว้สูงหรือต่ำเพียงใด ควรเพิ่มหรือลดราคาสินค้า จึงจะทำให้รายได้รวมกำไรของธุรกิจจะเพิ่มขึ้น
ไว้สูงหรือต่ำเพียงใด ควรเพิ่มหรือลดราคาสินค้า จึงจะทำให้รายได้รวมกำไรของธุรกิจจะเพิ่มขึ้น
3. นำมาใช้ประกอบการพยากรณ์แนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ที่มา (msci.chandra.ac.th/econ/ch3elastic.doc)
ในกรณีที่รัฐบาลมีความเห็นว่าราคา ณ ระดับ P0 สูงเกินไปและกำหนดว่าราคาต้องไม่สูงเกินกว่าระดับ P max ในกรณีดังกล่าวผลที่เกิดขึ้นคือ ณ ระดับราคาที่ต่ำกว่า ราคาดุลยภาพ ผู้ผลิตย่อมผลิตในปริมาณที่ต่ำกว่าปริมาณดุลยภาพ ดังนั้น ปริมาณอุปทานจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ Q1 ในทางตรงกันข้าม ผู้บริโภคย่อมมีอุปสงค์เพิ่มมากขึ้น ณ ระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาดุลยภาพ ปริมาณความต้องการซื้อ หรือปริมาณอุปสงค์จึงสูงกว่าปริมาณอุปทานในปริมาณ Q1 - Q2 หรือที่เรียกว่าอุปสงค์ส่วนเกิน (Excess Demand)
การกำหนดราคาหรือประกันราคาขั้นสูง ทำเพื่อใคร
การประกันราคา ให้ตํ่ากว่าราคาดุลยภาพ เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคหรือผู้ซื้อเนื่องจากราคาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันผู้บริโภคหรือผู้ซื้อเดือดร้อนสินค้าประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วเป็นสินค้าที่จําเป็นแก่การครองชีพ
การประกันราคาขั้นต่ำคืออะไร และทำเพื่อใคร
การกำหนดราคาหรือประกันราคาขั้นต่ำ
การกำหนดราคาขั้นต่ำ (minimum price control)คือ รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงตลาดโดยการประกันราคาหรือพยุงราคาในกรณีที่สิ้นค้าชนิดนั้นมีแนวโน้มจะต่ำมากหรือต่ำกว่าราคาขั้นต่ำ การควบคุมราคาขั้นต่ำเป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ราคาสินค้าที่ผลิตได้ต่ำเกินไปไม่คุ้มทุนที่ลงไป
ราคาซื้อขายกัน ณ จุด E เป็น การซื้อขาย ที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายซึ่งเป็นเกษตรกร เดือดร้อน เพราะราคาต่ำ รัฐบาลจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือ โดยการกำหนดราคาขั้นต่ำหรือการพยุงราคา ไว้ที่ OP3500 ซึ่งสูงกว่าราคาที่เป็นอยู่ และเมื่อราคาสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ผลิตสินค้ามาจำหน่ายมากขึ้น จาก OQ2 เป็น OQa3
แต่ ณ ราคานี้ เต็มใจซื้อสินค้าเพียง OQa1 ซึ่งจะทำให้มีสินค้าเหลือ จำนวน FH ซึ่งเราเรียกว่า “อุปทานส่วนเกิน” ( EXCESS SUPPLY) และถ้าหากรัฐบาลต้องการจะให้การช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อนนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจะต้องเข้าไปรับซื้อส่วนเกินนี้ไว้ จึงจะทำให้จุด Fการซื้อขายเข้าสู่จุด ดุลยภาพ
นี่คือ นโยบายแทรกแซงราคา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิต โดยการกำหนดราคาขั้นต่ำหรือที่เรียกว่า การพยุงราคาสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ รัฐยังมีการช่วยเหลือ ด้วยการให้เงินอุดหนุน ( Subsidies) แก่ผู้ผลิต เป็นต้น
ราคาตลาดอยู่ต่ำกว่าราคาประกันหรือราคาขั้นต่ำ จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ผลิตเพราะขายสินค้าได้น้อยกว่าราคาขั้นต่ำ โดยหลักการแล้วรัฐสามารถทำได้ 2 ทางคือ
- เพิ่มอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าโดยรัฐอาจลดภาษีสินค้าชนิดนั้นหรือเชิญชวนให้บริโภคสินค้าชนิดนั้นมากขึ้น
- ลดอุปทาน โดยการจำกัดการผลิต เช่น การผลิตสินค้าชนิดนั้นลดลงและผลิตสินค้าชนิดอื่นแทน
การกำหนดราคาหรือประกันราคาขั้นต่ำ ทำเพื่อใคร
การควบคุมราคาขั้นต่ำ เป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน จากการที่ราคาสินค้าที่ผลิตได้ต่ำเกินไปไม่คุ้มทุนที่ลงไป การควบคุมราคาขั้นต่ำส่วนใหญ่จะควบคุมสินค้าที่เป็นสินค้าเกษตรซึ่งรัฐบาลเห็นว่าราคาผลผลิตต่ำเกินไปทำให้เกษตรกรเดือดร้อน การควบคุมราคาขั้นต่ำนั้นรัฐบาลจะกำหนดราคาซื้อขายสินค้าไม่ให้ต่ำกว่าที่รัฐบาลกำหนด
การกำหนดราคาขั้นต่ำ (minimum price control)คือ รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงตลาดโดยการประกันราคาหรือพยุงราคาในกรณีที่สิ้นค้าชนิดนั้นมีแนวโน้มจะต่ำมากหรือต่ำกว่าราคาขั้นต่ำ การควบคุมราคาขั้นต่ำเป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ราคาสินค้าที่ผลิตได้ต่ำเกินไปไม่คุ้มทุนที่ลงไป
แต่ ณ ราคานี้ เต็มใจซื้อสินค้าเพียง OQa1 ซึ่งจะทำให้มีสินค้าเหลือ จำนวน FH ซึ่งเราเรียกว่า “อุปทานส่วนเกิน” ( EXCESS SUPPLY) และถ้าหากรัฐบาลต้องการจะให้การช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อนนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจะต้องเข้าไปรับซื้อส่วนเกินนี้ไว้ จึงจะทำให้จุด Fการซื้อขายเข้าสู่จุด ดุลยภาพ
นี่คือ นโยบายแทรกแซงราคา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิต โดยการกำหนดราคาขั้นต่ำหรือที่เรียกว่า การพยุงราคาสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ รัฐยังมีการช่วยเหลือ ด้วยการให้เงินอุดหนุน ( Subsidies) แก่ผู้ผลิต เป็นต้น
ราคาตลาดอยู่ต่ำกว่าราคาประกันหรือราคาขั้นต่ำ จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ผลิตเพราะขายสินค้าได้น้อยกว่าราคาขั้นต่ำ โดยหลักการแล้วรัฐสามารถทำได้ 2 ทางคือ
- เพิ่มอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าโดยรัฐอาจลดภาษีสินค้าชนิดนั้นหรือเชิญชวนให้บริโภคสินค้าชนิดนั้นมากขึ้น
- ลดอุปทาน โดยการจำกัดการผลิต เช่น การผลิตสินค้าชนิดนั้นลดลงและผลิตสินค้าชนิดอื่นแทน
การกำหนดราคาหรือประกันราคาขั้นต่ำ ทำเพื่อใคร
การควบคุมราคาขั้นต่ำ เป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน จากการที่ราคาสินค้าที่ผลิตได้ต่ำเกินไปไม่คุ้มทุนที่ลงไป การควบคุมราคาขั้นต่ำส่วนใหญ่จะควบคุมสินค้าที่เป็นสินค้าเกษตรซึ่งรัฐบาลเห็นว่าราคาผลผลิตต่ำเกินไปทำให้เกษตรกรเดือดร้อน การควบคุมราคาขั้นต่ำนั้นรัฐบาลจะกำหนดราคาซื้อขายสินค้าไม่ให้ต่ำกว่าที่รัฐบาลกำหนด
ที่มา (https://www.gotoknow.org/posts/215914)
ที่มา (http://www.ceted.org/course/websocial/c05/flash/content_c05_p21.swf)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น